ผลิตภัณฑ์ Better U โดยบริษัท ขนมดีดี จำกัด www.Kanomdeedee.com
Better U มี นวัตกรรมใหม่
-
ใช้ส่วนผสมที่เหมาะกับ

-
มีส่วนผสมที่มีงานวิจัยรองรับว่า ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับ

-
งานวิจัยดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
-
ผลงานวิจัยดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่น่าเชื่อถือระดับสูง
-
ผลิตโดยใช้ Biotech Innovation และระบบที่ควบคุมคุณภาพการผลิต
ส่วนผสมหลักของ Better U คือ Cordycepin&Adenosine(C&A)
C&A เป็นสารสกัดจาก เห็ดถั่งเช่าสีทอง
แต่…ไม่ใช่ผงเห็ด(เอาเห็ดมาทำเป็นผง)และไม่มีการทำเรือนเพาะเห็ด
เป็นการใช้ Biotech Innovation สกัดสาร C&A แล้วเพิ่มจำนวนสาร C&A ด้วยหลักการคล้ายสเต็มเซลล์
ทำในระบบปิด จึงได้ C&A ในปริมาณที่เหมาะสม และสะอาด ปลอดภัย
C&A ของ Better U
มีงานวิจัยที่ทำโดย นักวิจัยไทย ทำกับ

งานวิจัยได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
คนไทยที่เข้าร่วมวิจัยมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ร่างกายอักเสบน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย
ผลงานวิจัยดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่ได้รับความเชื่อถือระดับสูงในระดับสากล(Nature)
หมายเหตุ : อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ในเนื้อหาส่วนด้านล่างของเพจ
ตามหลักการทางการแพทย์
ภูมิคุ้มกันกับการอักเสบในร่างกายเรา จะเกี่ยวพันกับโรคและความเจ็บป่วยเหล่านี้
- มะเร็ง
- หัวใจ
- เบาหวาน
- ตับอักเสบ
- รูมาตอยด์,SLE
- ผื่นผิวหนัง,สิวอักเสบ
- ภูมิแพ้,หอบหืด
- ไข้หวัด
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
- โรคกระเพาะ,ลำไส้อักเสบ
- อัลไซเมอร์,พาร์กินสัน
Better U มีโพรไบโอติก สายพันธุ์ไทย 20,000 ล้าน CFU
- เป็นโพรไบโอติก(Probiotic)หรือโปรไบโอติก จุลินทรีย์ดีสายพันธุ์พิเศษ (Lactobacillus paracasei HFI-44 กับ Lactobacillus salivarius) ซึ่งเป็นโพรไบโอติก(Probiotic) สายพันธุ์ไทย(ไม่ได้นำเข้า)
- โดยมีโพรไบโอติกส์(Probiotics) สายพันธุ์ละ 10,000 ล้าน CFU รวมทั้งหมดมีโพรไบโอติกส์(Probiotics) 20,000 ล้าน CFU
- เป็นโพรไบโอติก(Probiotic) ที่คัดเลือกเป็นพิเศษว่าเหมาะสมกับ “คนไทย”
- เนื่องจากโพรไบโอติกส์(Probiotics) ต้องการอาหารที่เหมาะสม ซึ่งอาหารของโพรไบโอติก จะได้มาจากอาหารที่เรากิน
- ฉะนั้น โพรไบโอติกส์(Probiotics)หรือโปรไบโอติก ที่เหมาะสมกับคนไทยก็คือ โพรไบโอติกส์(Probiotics)ที่เหมาะกับอาหารที่คนไทยกิน เหมาะสมกับระบบนิเวศในลำไส้ ทำให้โพรไบโอติกนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- กล่าวอีกมุมก็คือ โพรไบโอติกจากบางประเทศ อาจจะไม่เหมาะสมกับอาหารการกินของคนไทย
- นอกจากนี้ โพรไบโอติก(Probiotic) ที่ Better U ใช้ ยังทนทานต่อกรด , น้ำดี และความร้อนในร่างกาย จึงไม่สูญเสียคุณค่าและยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไปถึงลำไส้
- Lactobacillus paracasei HFI-44 กับ Lactobacillus salivarius เป็น โพรไบโอติก(Probiotic) ที่มีสรรพคุณช่วยส่งเสริม C&A เพราะช่วย
- เสริมสร้างสมดุลย์ของจุลินทรีย์ในลำไส้
- กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- ต้านการอักเสบ
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยเผาผลาญไขมัน
- ลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด
- ลดความเครียด
- ช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบ
Better U มีสารสกัดจากชาเขียว EGCG
- เราไม่ได้ใส่ชาเขียวนิดหน่อย(แค่พอพูดได้ว่ามี)
- เราใส่สารสกัดจากชาเขียวมากในระดับที่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย
- Better U ใส่สารสกัดจากชาเขียว EGCG 150 mg ซึ่งเทียบเท่ากับ ชาเขียว 3-5 แก้ว
ปริมาณ EGCG 150 mg นั้น มีงานวิจัยรองรับว่า - ต่อต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดไขมันไม่ดี(LDL)
- ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
หมายเหตุ : อ่านข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับงานวิจัย ได้ในเนื้อหาด้านล่างของเพจ
Better U 1 แพ็ค..มี 7 ซองย่อย
- เป็นแบบผง กรอกปาก (ดูดซึมได้ดีกว่าแบบละลายน้ำ)
- รส สตรอเบอร์รี่ อร่อย กินง่าย
- ราคา 429 บาท/แพ็ค [ 61 บาท/วัน ]
Better U ไม่มี !
- 0% คอเรสเตอรอล
- 0% ไขมัน
- 0% โซเดียม
- 0% น้ำตาลที่เติม
Better U ปลอดภัย
- รส สตรอเบอร์รี่ จากผงผลไม้แท้สกัด รสชาติอร่อยจากธรรมชาติ
- ปลอดจากโลหะหนัก (เช่น สารหนู, ตะกั่ว , ปรอท, แคดเมียม)
- 100% Natural (ไม่ใส่วัตถุดิบสังเคราะห์ ไม่เติมสี,กลิ่น)
- เป็น Vetarian (มังสวิรัติ)
- มีงานวิจัยชี้ว่า (C&A) ที่ใช้ ไม่เป็นพิษต่อเซลล์และร่างกายมนุษย์
ส่วนผสมรอง
เสริมการทำงานส่วนผสมหลักของ Better U ในหลายมิติ
- Zinc Gluconate
เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ - Vitamin C
เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างคอลลาเจน - Vitamin E
ต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมการทำงานของภูมิคุ้มกัน - Selenium
ส่งเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ - Inulin
ส่งเสริมการทำงานของโพรไบโอติก ช่วยระบบขับถ่าย ลดการอักเสบในลำไส้ - Niacin (Vitamin B3)
ลดการอักเสบ ช่วยเผาผลาญพลังงาน และดูแลผิวพรรณให้ปกติ - Vitamin B6
ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ระบบเลือด เสริมการทำงานของภูมิคุ้มกัน และระบบประสาท - Folic Acid(Vitamin B9)
ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และการแบ่งเซลล์ - Biotin(Vitamin B7)
ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
ความแตกต่างที่สำคัญ
- บางผลิตภัณฑ์ ไม่มีงานวิจัยอะไรเลย เพียงแค่กล่าวถึงหลักการทั่วไปของส่วนผสม ว่ามีสรรพคุณอะไรบ้าง ทั้งๆที่ใส่ส่วนผสมนั้น น้อยจนแทบไม่เกิดประโยชน์อะไร
- บางผลิตภัณฑ์ ก็ทำผลิตภัณฑ์ออกมาให้เสร็จก่อน แล้วพยายามทำงานวิจัยในแบบที่ไม่น่าเชื่อถือมากนัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาสอดคล้องกับแบบที่ต้องการ
- Better U เรานำงานวิจัยที่ทำเสร็จแล้ว ได้ผลออกมาดี มีความน่าเชื่อถือสูง มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
B. ข้อมูล ความรู้ แหล่งอ้างอิง
B-1.เกี่ยวกับงานวิจัย C&A(Cordycepin & Adenosine ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Cordyceps Militaris-สารสกัดจากเห็ดถั่งเช่าสีทอง)
งานวิจัยนี้ ทำโดยนักวิจัยไทย โดยทดสอบในอาสาสมัครทั้งชายและหญิงที่สุขภาพดีที่จังหวัดพะเยา เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครดื่มสารสกัด C&A อีกครึ่งหนึ่งดื่มน้ำผลไม้ธรรมดา(ยาหลอก)
สามารถสรุปผลลัพธ์สำคัญดังนี้
1. กิจกรรม NK cells( NK cells Activity) เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ
– ชาย: เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.049)
– หญิง: เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.023)
2. สารก่อการอักเสบลดลง อย่างมีนัยสำคัญ
– ชาย: ระดับ IL-1β ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.049)
– หญิง: ระดับ IL-6 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.047)
3. ไม่พบผลเสียต่อร่างกาย
จากการตรวจค่าของเลือดต่างๆ ในการตรวจเลือดหลายประเภท ไม่พบการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ รวมถึง ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด การอักเสบของตับหรือไต
กล่าวแบบสรุปได้ว่า: สารสกัด C&A ช่วยเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน(โดยเฉพาะเซลล์ NK cells)
และลดการอักเสบในร่างกาย โดยไม่พบผลเสียต่อร่างกาย(ทหารขยันทำงาน + คนก่อกบฏมีน้อยลง + ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น)
หมายเหตุ : ผลลัพธ์ที่ได้เป็นผลลัพธ์เฉพาะบุคคล ไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันทุกคน
ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย
- งานวิจัยอยู่ในระดับน่าเชื่อถือสูงสุด (Tier 1 ,Published in Q1 Peer-reviewed journal ,ทดลองในมนุษย์-Clinical Trials )
- งานวิจัยดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Report ซึ่งเป็นวารสารในเครือ Springer Nature (Nature.com) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ระดับเรือธงของวงการวารสารวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้สูง(Tier สูงสุดของสาขา) เปิดมาตั้งแต่ปี 1869 และยังคงถูกกล่าวขานในฐานะแหล่งความรู้และผลวิจัยชั้นนำของโลก
- ผู้ที่สนใจ สามารถอ่านผลงานวิจัยที่ Nature.com หรือ Download โดยคลิกที่นี่
- ได้รับการยอมรับทางวิชาการจากหน่วยงานนานาชาติมากมาย เช่น European Food Safety Authority , Scientific committee ของ Codex , Food Standard Australia New Zealand
- ได้รับรางวัล Top Innovation Product ในงาน Thaifex Anuga Asia ทั้งปี 2024 และปี 2025
หมายเหตุ :
- ตามหลักการทางการแพทย์ เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ก็จะแข็งแรงขึ้น ต้านทานโรคที่กำลังเป็นอยู่ หรือที่มีโอกาสจะเป็นในอนาคต ได้ดีขึ้น ส่วนคนที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี ก็จะอ่อนแอ ป่วยง่าย ต้านทานโรคที่กำลังเป็นอยู่ หรือที่มีโอกาสจะเป็นในอนาคต ได้ไม่ดี
- NK Cells (Natural killer cells) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง (Lymphocyte) เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ฆ่าเชื้อโรคและเซลล์ผิดปกติ NK Cells เป็นกุญแจสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน เหมือนด่านหน้าในการต่อสู้ป้องกันเซลล์แปลกปลอมที่เป็นอันตราย รวมถึงเซลล์ที่ติดเชื้อ , เซลล์มะเร็ง
- NK Cell Activity เป็นตัววัดความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์แปลกปลอมที่เป็นอันตราย หรือกล่าวได้ว่า เป็นค่าที่ใช้ประเมินความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรค การติดเชื้อ และอีกหลายโรค รวมถึงการต่อสู้กับเซลล์ที่มีโอกาสเป็นเซลล์มะเร็ง(หรือเซลล์ที่เป็นเซลล์มะเร็งไปแล้ว)
- NK Cell Activity เป็นค่าที่สะท้อนถึงโอกาสเป็นโรคต่างๆ คนมีค่า NK Cell Activity ระดับต่ำ จะส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากโรคติดเชื้อ มะเร็ง และโรคอื่นๆ ตามมา (อ้างอิงจาก รพ.พญาไท )
- IL-1β , IL-6 เป็นหนึ่งในไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่หลั่งออกจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ไซโตไคน์เป็นเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบของเซลล์ (Inflammatory marker) และการติดเชื้อ (อ้างอิงจาก รพ.วิชัยเวช)
- ตามหลักการทางการแพทย์ ภูมิคุ้มกัน กับการอักเสบในร่างกายเรา จะเกี่ยวพันกับโรคและความเจ็บป่วยเหล่านี้ มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ตับอักเสบ รูมาตอยด์ SLE ผื่นผิวหนัง สิวอักเสบ ภูมิแพ้ หอบหืด ไข้หวัด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว โรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน
B-2 เกี่ยวกับโพรไบโอติก(Probiotic)ที่ใช้
- เป็นสายพันธุ์ไทย(ไม่ได้นำเข้า) ที่คัดเลือกเป็นพิเศษว่าเหมาะสมกับ “คนไทย”
- เหมาะสมกับอาหารที่คนไทยกิน เหมาะสมกับระบบนิเวศในลำไส้ ทำให้โพรไบโอติกนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- โพรไบโอติกต้องการอาหารที่เหมาะสม ซึ่งอาหารของโพรไบโอติกจะได้มาจากอาหารที่เรากิน ฉะนั้น โพรไบโอติกจากบางประเทศ อาจจะไม่เหมาะสมกับอาหารการกินของคนไทย
2.1 Lactobacillus paracasei HFI-4
คุณสมบัติเด่น:
- เพิ่มประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้
- กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- ต้านการอักเสบ
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยเผาผลาญไขมัน
- ลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด
- ลดความเครียด
2.2 Lactobacillus salivarius โพรไบโอติกที่พบในปาก ลำไส้ และช่องคลอดของมนุษย์
คุณสมบัติเด่น:
- ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้และช่องปาก
- ผลิตกรดแลคติกและสารต้านจุลชีพที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรียก่อโรค
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยลดอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาจช่วยป้องกันหลายโรค เช่น มะเร็ง หอบหืด โรคผิวหนัง
- มีบทบาทในการลดกลิ่นปาก ฟันผุ และโรคเหงือก
- ลดการอักเสบในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในทางเดินอาหาร และอาจมีบทบาทในการรักษาภาวะอักเสบเรื้อรังบางชนิด
หมายเหตุ ตามข้อมูลทางการแพทย์ ภูมิคุ้มกันราว 70% อยู่ที่ลำไส้ ฉะนั้น หากลำไส้มีระบบนิเวศที่ดีก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี (อ้างอิงจาก รพ.บำรุงราษฎร์)
B-3 เกี่ยวกับงานวิจัย สารสกัดจากชาเขียว EGCG 150 mg
3.1 ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ
EGCG มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant) ทั้งในระดับเซลล์และร่างกาย และลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ รวมถึงยังต้านการอักเสบในร่างกายด้วย (Anti-inflammatory)
Link งานวิจัย: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/18206666/
3.2 ลด LDL คอเลสเตอรอล ลดไขมันในร่างกาย ไขมันที่ตับ
มีงานวิจัยแบบทบทวนอย่างเป็นระบบ (Systematic Review) ที่รวบรวมผลจาก 17 การทดลองในมนุษย์ (n = 1,356) และสรุปว่า การบริโภค EGCG ในปริมาณ 107 ถึง 856 มิลลิกรัม/วัน เป็นเวลา 4 ถึง 14 สัปดาห์ สามารถลดระดับ LDL-C ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ยลดลง 9.29 มก./ ดล
และมีงานวิจัยว่า EGCG 150 mg -300 มก./ วัน ประมาณ 12 สัปดาห์ อาจช่วย ลดระดับไขมันในเลือด ได้ และถ้าเพิ่มเป็น300 มก./ วัน อาจช่วยลดระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST) และ ลดไขมันในตับ
Link งานวิจัย: https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC11762999/
3.3 ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
มีงานวิจัยว่า EGCG 150 mg -300 มก./ วัน ประมาณ 12 สัปดาห์ อาจช่วย ลดระดับไขมันในเลือด ได้ และมีงานวิจัยว่า EGCG ประมาณ 150–500 มก. ต่อวัน อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
3.4 ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
มีงานวิจัยว่า EGCG 150–300 มก./วัน ประมาณ 12 สัปดาห์ อาจช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด (glucose)ได้
Link งานวิจัย : https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC11762999/
? ถาม-ตอบ เกี่ยวกับ Better U
เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
คำถาม : Better U เป็นอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกันใช่ไหม ?
คำตอบ : Better U ไม่ได้ถูกจัดเป็น “อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน” โดยตรง แต่มีส่วนผสมที่มีงานวิจัยรองรับว่า การกินต่อเนื่องช่วยให้ภูมิคุ้มกันในอาสาสมัครคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
หมายเหตุ : ผลที่ได้จากงานวิจัย เป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล เฉพาะกลุ่ม ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทุกคนจะได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน
คำถาม : กินแล้ว “ภูมิคุ้มกันดีขึ้น” หมายถึงอะไร ?
คำตอบ : ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหลายส่วน Better U อ้างอิงจากผลการวิจัย(ตามข้อมูลที่อยู่หัวข้อ B. ข้อมูล ความรู้ แหล่งอ้างอิง ด้านบน) ที่พบว่า อาสาสมัครคนไทยมีระดับ “NK cells activity” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับระดับสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
ประกอบกับโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย และสารสกัดจากชาเขียว EGCG ต่างก็เป็นที่รู้กันว่า เป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น มีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น
การมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น จึงเป็นสิ่งที่คาดหวังได้
คำถาม : Better U เป็นยารักษาโรค ใช่หรือไม่
คำตอบ : Better U ไม่ใช่ยารักษาโรค Better U เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่สกัดมาจากอาหารที่เรากินกันทั่วไป ซึ่งส่วนผสมตามธรรมชาติหลายๆอย่าง มีสรรพคุณที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น คนที่กินอาหารที่มีสารอาหารดีๆในปริมาณที่เหมาะสม จึงแข็งแรงขึ้น โอกาสเป็นโรคต่างๆก็น้อยลง ส่วนคนที่ป่วยก็จะสดชื่นขึ้น แข็งแรงขึ้น มีพลังมากขึ้น
คำถาม : ถ้าไม่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว จะได้ประโยชน์อะไรจากการกิน Better U ?
คำตอบ : แนวคิดทางการแพทย์สมัยใหม่ให้ความสำคัญกับ “การดูแลป้องกันก่อนป่วย” (Preventive Healthcare) มากกว่ารอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา ดังนั้น แม้คุณจะยังแข็งแรงดี การกิน Better U ก็จะช่วยให้ร่างกายคุณได้รับสารอาหารที่ดี ซึ่งสารอาหารเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีโอกาสเจ็บป่วยน้อยลง
นอกจากนี้ การป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจประหยัดกว่าการรักษาเมื่อป่วยแล้วถึง 10 เท่า การดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้จึงคุ้มค่าทั้งกาย ใจ และกระเป๋าเงินของคุณ
วิธีกิน Better U
คำถาม : ควรกินเท่าไหร่ และกินตอนไหนดีที่สุด ?
คำตอบ : กินวันละ 1 ซอง ในขณะท้องว่างจะดีที่สุด
คำถาม : กินพร้อมอาหารอื่นได้ไหม ?
คำตอบ : สามารถกินพร้อมอาหารได้ แต่การกินตอนท้องว่างจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารสำคัญได้ดีกว่า
คำถาม : วิธีกินที่ถูกต้องคืออย่างไร ?
คำตอบ : ฉีกซอง เทผงลงปาก แล้วดื่มน้ำตามในปริมาณพอเหมาะ เพื่อให้มั่นใจว่าสารอาหารละลายและกลืนลงหมด
คำถาม : ถ้าลืมกิน 1 วันจะเป็นอะไรไหม ?
คำตอบ : ไม่มีผลเสีย แต่ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับอาจลดลง การกินอย่างสม่ำเสมอจะให้ผลดีกว่า
คำถาม : ต้องกินนานแค่ไหนถึงจะเริ่มเห็นผล ?
คำตอบ : ร่างกายจะได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่วันแรกที่กิน แต่จากผลการวิจัยพบว่า จะเริ่มเห็นผลชัดในสัปดาห์ที่ 4 สำหรับเพศชาย และในสัปดาห์ที่ 8 สำหรับเพศหญิง
คำถาม : ควรกินต่อเนื่องนานเท่าใด ?
คำตอบ : หากกิน 1 แพ็ค(7ซอง) ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารที่ดี 7 วัน แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนตามงานวิจัย แนะนำให้กินต่อเนื่องอย่างน้อย 8 สัปดาห์
คำถาม : ต้องกินตลอดไปไหม? ถ้าหยุดกินแล้วภูมิคุ้มกันจะลดลงหรือเปล่า ?
คำตอบ : ตามหลักการทางการแพทย์ทั่วไป สิ่งดีๆทุกอย่างที่เรากินเข้าไป จะส่งผลดีต่อร่างกายเราระยะหนึ่ง แล้วผลดีนั้นก็หมดไป (ไม่มีอาหารอะไรที่กินครั้งเดียว,ช่วงระยะเวลาเดียว แล้วสามารถส่งผลดีได้ตลอดชีวิต)
เช่นเดียวกันกับ Better U หลังจากที่กินครบ 8 สัปดาห์ แล้วหยุดกิน สารอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายเราต่ออีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
กล่าวคือ หากเรากลับไปเลือกกินเลือกใช้ชีวิตแบบที่ทำให้ภูมิคุ้มกันเราต่ำ เราก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำ หากเราเลือกกินเลือกใช้ชีวิตแบบที่ทำให้มีภูมิคุ้มกันที่สูง เราก็จะมีภูมิคุ้มกันที่สูง หมายความว่า หากเราเลือกกิน Better U ต่อเนื่องไปอีก เราก็จะได้รับสารอาหารที่ดีต่อเนื่องไปอีกเช่นกัน
ความปลอดภัย Better U
คำถาม : มีผลข้างเคียงหรืออาการแพ้ไหม ?
คำตอบ : จากงานวิจัยในอาสาสมัครคนไทย ไม่พบอาการแพ้หรือผลข้างเคียงใด ๆ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบส่วนผสมก่อนกิน เช่น หากคุณแพ้ชาเขียวหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลิตภัณฑ์มีสารสกัดจากชาเขียว
คำถาม : มีผลต่อระบบขับถ่ายหรือท้องเสียไหม ?
คำตอบ : จากงานวิจัยพบว่า ไม่มีผลข้างเคียงหรือท้องเสียเกิดขึ้นกับอาสาสมัครคนไทย ในทางตรงกันข้าม ผู้บริโภคบางท่านอาจมีระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น
คำถาม : กินต่อเนื่องยาวนานได้ไหม มีอันตรายไหม ?
คำตอบ : ข้อมูลที่แน่ชัดก็คือ อาสาสมัครคนไทย ได้มีการเจาะเลือดดูค่าต่างๆ รวมถึงระดับน้ำตาลในเลือด ค่าตับ ค่าไต พบว่าการกินต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ ไม่ส่งผลให้ค่าเลือดใดๆมีการเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ(กินต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ ปลอดภัย)
ส่วนการกินนานกว่า 8 สัปดาห์นั้น แม้จะไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่จะเห็นได้ว่า ทาง อย. ก็ไม่ได้ห้ามเอาไว้(ไม่เหมือนเครื่องชูกำลัง ที่ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด , ยาบางประเภท ที่ห้ามกินต่อเนื่องเพราะจะมีอันตราย) ประกอบกับ การที่ส่วนผสมของ Better U ก็มาจากธรรมชาติ แบบเดียวกับอาหารที่เรากินได้ทุกวันต่อเนื่องยาวนาน และรวมกับเหตุผลที่ว่า ร่างกายเราต้องการสารอาหารที่ดีทุกวันต่อเนื่องยาวนาน
ฉะนั้น การจะเลือกกินสิ่งที่จะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดีอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะทำ
หมายเหตุ : ผลที่ได้จากงานวิจัย เป็นเรื่องราวเฉพาะบุคคล เฉพาะกลุ่ม ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทุกคนจะได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน
คำถาม : กินมากกว่า 1 ซองต่อวันได้ไหม ?
คำตอบ : อย. ไม่ได้ห้ามกินเกินวันละ 1 ซอง แปลว่าเราสามารถกินมากกว่า 1 ซองได้
อย่างไรก็ตาม อาหารทุกประเภท รวมถึงน้ำเปล่า หากเราบริโภคมากเกินไป ก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ฉะนั้น ในเบื้องต้นจึงแนะนำให้กินวันละ 1 ซอง แต่สำหรับผู้ที่ร่างกายขาดภูมิคุ้มกันมากกว่าปกติ หรือผู้ที่ต้องการภูมิคุ้มกันมากกว่าปกติ ก็อาจจะกินมากกว่า 1 ซองได้ตามความเหมาะสมของร่างกายแต่ละคน
คำถาม : คนท้อง ให้นมบุตร หรือเด็กเล็ก กินได้ไหม ?
คำตอบ : ไม่แนะนำให้กิน เนื่องจากระบบร่างกายของทารกและเด็กยังไม่พัฒนาเต็มที่ แม้ผลิตภัณฑ์จะปลอดภัย แต่เพื่อความมั่นใจ ควรหลีกเลี่ยงในกลุ่มนี้
คำถาม : ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังกินยา สามารถกินได้หรือไม่ ?
คำตอบ : โดยพื้นฐานแล้ว Better U เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติ จากอาหารที่เรากินกันตามปกติ ฉะนั้น คนที่เป็นโรคประจำตัวในแบบที่แพทย์บอกให้กินอาหารได้ปกติ ไม่ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ ก็สามารถกิน Better U ได้
แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำในระดับที่ต้องมีความระมัดระวัง จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน
อย่างไรก็ตาม หากเราถามแพทย์ด้วยคำถามพื้นฐานว่า สามารถกินสิ่งนี้ได้ไหม ตามปกติแล้ว หากแพทย์ไม่รู้จักสิ่งนั้นหรือไม่แน่ใจว่าคืออะไร แพทย์ก็มักจะแนะนำให้เราหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นไปก่อน
ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุด จึงเป็นการนำเอาข้อมูลส่วนผสมสำคัญ ที่แจ้งไว้ด้านบนของเพจนี้ ไปถามแพทย์ด้วยคำถามว่า “ในนี้ มีส่วนผสมอะไร ที่ผม/ดิฉัน ห้ามกินหรือไม่”
คำถาม : ผู้สูงอายุสามารถกินได้หรือไม่ ?
คำตอบ : หากเป็นผู้สูงอายุที่กินอาหารได้ปกติ ไม่มีโรคประจำตัว ก็สามารถกินได้ แต่หากมีโรคประจำตัว ก็ควรจะนำเอาข้อมูลส่วนผสมสำคัญ ที่แจ้งไว้ด้านบนของเพจนี้ ไปถามแพทย์ด้วยคำถามว่า “ในนี้ มีส่วนผสมอะไร ที่ผม/ดิฉัน ห้ามกินหรือไม่”
